องค์ประกอบการออกแบบ

       ภาพใด ๆ ล้วนแต่มีองค์ประกอบอยู่ภายในทั้งสิ้น โดยองค์ประกอบที่อยู่รวมกันเป็น ภาพจะมี องค์ประกอบพื้นฐาน ซึ่งได้แก จุด เส้น และ ระนาบ ดังนั้นต่อไปนี้เวลามองภาพ วิเคราะห์องค์ประกอบที่อยู่ข้างใน เราจะพูดถึง 3 อย่างนี้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน คราวนี้ เรามาลองดูตัวอย่างกันดีกว่า



 ภาพงานออกแบบกราฟิก ที่มีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ จุด เส้น และ ระนาบประกอบอยู่ภายใน

 จุด Dot จุดเป็นองค์ประกอบที่มีขนาดเล็ก โดยมีขนาดความกว้าง และความยาวใกล้เคียง กัน จุดมีคุณสมบัติเด่นในการจัดวางทำให้เกิดการเรียกร้องความสนใจได้ดี



 คุณสมบัติของจุด
 เรียกร้องความสนใจของสายตาได้ดี 
บอกและกำหนดตำแหน่งในภาพ
การวางจุด 2 จุด เราจะได้พื้นที่ระหว่างจุดที่ให้ความรู้สึกดึงดูดระหว่างกัน

 เส้น Line

 เส้นเป็นองค์ประกอบที่มีขนาดยาว เกิดจากการนำจุดมาเคลื่อนที่หรือนำ มาวางเรียงต่อ ๆ กัน เส้นมีคุณสมบัติเด่นในการนำ้สายตา เป็นแนวแบ่งภาพ

 คุณสมบัติของเส้น

 เส้นมีความยาวมากกว่าความกว้างและความหนาอย่างเห็นได้ชัดจึงทำให้ เกิดความรู้สึกไปทางด้านยาวด้านเดียว
 นำสายตา กำหนดทิศทาง และความต่อเนื่อง
 แบ่งซอยภาพ

 ความรู้สึก อารมณ์ของเส้นต่าง ๆ ในภาพ



 เส้นตรง ให้ความรู้สึกมั่นคงเป็นระเบียบ
 เส้นนอน ให้ความสงบ นิ่ง เรียบร้อย
 เส้นเฉียง ให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ความไม่หยุดนิ่ง พลังขับเคลื่อน
 เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกถึงความไม่เป็นระเบียบ การไม่อยู่ในกรอบ ความอิสระ หรือความสับสนวุ่นวายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเส้นจะหยักมากน้อยแค่ไหน
 เส้นเล็กและบาง ให้ความรู้สึกเบาและเฉียบคม ในขณะที่เส้นหนาให้ ความหนักแน่นในการนำ้สายตา

 ระนาบ

 ระนาบ เป็นองค์ประกอบที่เกิดจากเส้นที่ขยายตัว หรือกลุ่มของจุดเกิด ความกว้าง ความยาว เป็นองค์ประกอบที่เป็น 2 มิติ ระนาบมีอิทธิพลในภาพเป็น อย่างมาก เพราะมักจะครองพื้นที่โดยรวมของภาพเอาไว้
 เมื่ออยู่ในภาพตัวระนาบที่เรามีอยู่มักจะมีรูปร่าง (Shape) ต่างกันออกไป รูปร่างแต่ละชนิดก็มีความหมายและให้ความรู้สึกต่าง ๆ กัน ยกตัวอย่างระนาบ รูปร่างต่าง ๆ ที่เรามักพบเห็นได้แก่

 1. วงกลม Circle 

เมื่อวางรูปร่างวงกลมในภาพจะให้ความรู้สึกเป็นศูนย์กลาง เป็นที่รวมความสนใจ หรือการปกป้องคุ้มครอง





2. สี่เหลี่ยม Square เมื่อวางรูปร่างสี่เหลี่ยมในภาพ จะให้ความรู้สึกสงบ มั่นคง เป็นระเบียบ เมื่อวาง ตามแนวตั้งฉาก ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวและสร้างจุดสนใจได้ดี เมื่อวางทแยง สามารถจัดเป็นกลุ่มก้อนให้ลงตัวได้ง่าย





 3. สามเหลี่ยม Triangle

 เมื่อวางรูปร่างสามเหลี่ยมในภาพจะได้ความรู้สึกหยุดนิ่ง มั่นคง แต่ที่ส่วนปลายมุม ทั้ง 3 ด้านให้ความรู้สึกถึงทิศทาง ความเฉียบคม และมีแรงผลักดัน





 4. หกเหลี่ยม Hexagon

 เมื่อวางรูปร่างหกเหลี่ยมในภาพ จะให้ความรู้สึกถึงการเชื่อมโยง การเป็นหน่วยย่อย หน่วยหนึ่ง Modular ที่สามารถต่อไปได้อย่างไม่สิ้นสุดไม่มีขอบเขต





สีเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการออกแบบ สีมีอิทธิพลในเรื่องของอารมณ์การสื่อความหมาย
ที่เด่นชัด และกระตุ้นต่อการรับรู้ของคนเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เรื่องของสียังเป็นเรื่องสำคัญใน
การออกแบบ เพื่อความสวยงาม สื่อความหมาย งานบางชิ้นที่ออกแบบมาดี แต่ถ้าใช้สีไม่เป็น อาจทำให้
งานทั้งหมดที่ทำมาพังได้ง่าย ๆ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องรู้จักสี และเลือกใช้สีให้เป็น

ก่อนอื่นเรามารู้จักองค์ประกอบของสีกันก่อนองค์ประกอบของสีในงานออกแบบนั้น มีคุณสมบัติอยู่ 3 ประการคือ
1. สี,เนี้อสี (Hue)
2. น้ำหนักสี (Value / Brightness)
3. ความสดของสี (Intensity / Saturation)


สี, เนื้อสี
Hue
         
เนื้อสี หรือ Hue คือความแตกต่างของสีบริสุทธิ์แต่ละสี ซึ่งเราจะเรียกเป็นชื่อสี เช่น สีแดง
สีน้ำตาล สีม่วง เป็นต้น โดยแบ่งเนื้อสีออกเป็น 2 ชนิด 




1. สีของแสง (Coloured Light)
             สีของแสง คือความแตกต่างสั้นยาวของคลื่นแสงที่เรามองเห็น เริ่มจากสีม่วงไปสีแดง
             (เหมือนรุ่งกินน้ำที่เรามองเห็นหลังฝนตก)
 2. สีของสาร (Coloured Pigment)
            สีของสาร คือสีที่เรามองเห็นบนวัตถุต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการดูดซืมและสะท้อนของความ
            ยาวคลื่นแสง


          จากการที่เรามองเห็นสีของสารต่าง ๆ นี่เองจึงค้นพบว่ามีสีอยู่ 3 สี ที่เป็นต้นกำเนิดของสีือื่น ๆ ที่ไม่สามารถสร้างหรือผสมให้เกิดจากสีอื่นได้ หรือที่เรียกกันว่า " แม่สี " ได้แก่ แดง,เหลือง,
น้ำเงิน


การผสมสี

จริง ๆแล้วสีต่าง ๆ ที่เรามองเห็นเกิดจากการผสมสีใน 2 รูปแบบ คือ

 การผสมสีแบบบวก (Additive Color Mixing)


เป็นการผสมสีของ "แสง" ซึ่งอาจเข้าใจยากสักหน่อย เพราะแตกต่าง จากความคุ้นเคยที่เราเคยรู้
กันมา แสงสีขาวที่เห็นทั่วไปนั่นประกอบดวยแสงที่มีความยาวคลื่น ต่าง ๆ กันซ้อนทับรวมตัวกันเกิด
เป็นสีสันต่าง ๆ จึงเรียกว่า "สีแบบบวก" โดยมีแม่สีพื้นฐานคือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน (Red
Green and Blue) เมื่อสามสีนี้ผสมกันจะได้สีขาว (สังเกต ว่าจะต่างจากที่เคยเรียนมาตอนเด็ก ๆ
ที่มีแม่สีคือ สีแดง เหลือง น้ำเงิน ผสมกันได้สีดำ) หลักการนี้นำไปใช้กับการมองเห็นสีที่เกิดจาก
การผสมกันของแสง เช่น จอมอนิเตอร์ จอโทรทัศน์ ที่เรียกว่า RGB Mode



 การผสมสีแบบลบ (Subtractive Color Mixing)

เป็นสีที่เกิดจากการดูดกลืนแสงสะท้อนจากวัตถุ คือเมื่อมีลำแสงสีขาวตกกระทบวัตถุสีต่าง ๆคลื่นแสง
บางส่วนจะถูกดูดกลืนไว้ และสะท้อนเพียงบางสีออกมา จึงเป็นที่มาของชื่อ "สีแบบลบ" มีแม่สีคือ
สีฟ้าแกมเขีว (Cyan) สีม่วงแดง (Magenta) และสีเหลือง (Yellow) เมื่อสามสีผสมกันจะเป็นสีดำ
เพราะแสงถูกดูดกลืนไว้หมด ไม่สีแสงสะท้อนมาเข้าตา จึงไม่เกิดสีอะ ตาจึงเห็นเป็นสึดำ หลักการนี้
ได้นำไปใช้กับการผสมสี เพื่อใช้ในการพิมพ์ โดยใช้แม่สี แต่เพิ่มสีดำขึ้นมาอีกสีหนึ่งผสมกันเป็นโทน
ต่าง ๆ ด้วยใช้เม็ดสกรีน ทำให้ได้ภาพสีสันสมจริง ดังนั้น หากต้องทำงานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ ต้องเตรียม
ภาพด้วยระบบสีนี้ ในโปรแกรมเรียกว่า CMYK Mode


วงจรสี Colour Wheel

          วงจรสีก็คือ การวางเนื้อสี เรียงกันตามการผสมสีของสารที่เรามองเห็นโดยตัวอย่างของแบบ
จำลองวงจรสีี่จะหยิบยกมาศึกษากันนี้ เป็นแบบ 12 สี มาตราฐานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ลองมาดู
ภาพประกอบความเข้าใจกันสักเล็กน้อย


 1. แรกเริ่มเดมที่เรามี 3 สีเป็นต้นกำเนิด คือแม่สี
            หรือ สีปฐมภูมิ Primary Colours





2. สีที่ได้จากการผสมแม่สีทั้ง 3 เข้าด้วยกัน เรียกว่า สึขั้นที่ 2
            หรือ สีทุติยภูมิ Secondary Colours




 3. สีที่ได้จากการผสมแม่สี และสีขั้นที่ 2 ออกมากลายเป็นสีขั้นที่ 3
            หรือ สีตติยภูติ Tertiary Colours




ต่อไปนี้เราจะใช้วงจรสีที่เห็นนี่แหละ ในการออกแบบ จัดวางสี ให้อยู่ด้วยกัน หรือที่เรียกกันว่า
การวางโครงสี Colour Schematic ซึ่งจะใช้อย่างไรเราจะศึกษากันตอนท้ายของบท

น้ำหนักสี
Value
           จะว่าไปแล้วแน้ำสีก็คือเรื่องของความสว่างของสี หรือการเพิ่มขาว เติมดำลงในเนื้อสีที่เรามีอยู่
และการปรับเปลี่ยนน้ำหนักสีนี่เองที่ทำให้ภาพดูมีมิติ ดูมีความลึก หรือที่เราเรียกวันว่า โทน Tone ซึ่ง
บางครั้งสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดและความสมจริงให้กับงานที่เราออกแบบไ้ด้

     ค่าความสว่างสีต่ำ           ค่าความสว่างสีปานกลาง            ค่าความสว่างสีสูง

เรามาดูตัวอย่างงานกันดีกว่า



ตัวอย่างงานออกแบบกราฟิกที่มีการปรับเปลี่ยนน้ำหนักสี ในการออกแบบ ซึ่งถ้าเราใช้สีเดียวในการออกแบบ จะเรียกว่าเป็นงาน Monochrome

ความสดของสี
Intensity / Saturation

         ความสดของสีหรือบางคนอาจเรียกว่า ความอิ่มตัวของสี เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งใน
การออกแบบ การใช้สีบางครั้งเราอาจจะต้องลดหรือเพิ่ม ความสดของสีใดสีหนึ่ง หรือ ทั้ง 2 สี
เลยก็ไ้ด
         ในกรณีลดความสดของสีก็เพื่อไม่ให้ภาพงานที่ออกมานั้นดูฉูดฉาดจนเกินไป ลดความ
สดของสีจะเรียกอีกอย่างว่า เป็นการเบรกสีก็ได้ ในการเบรกสีของงานศิลปะ ศิลปินมักจะใช้สี
น้ำตาลซีเปียมาเติมลงในสีที่เขาต้องการเพื่อให้สีที่ได้ออกมามีเนื้อสีเดิมแต่ดูหม่นลง

เรามาดูตัวอย่างภาพที่ความสดของสีต่างกันดีกว่า




ทั้งสองภาพเป็นภาพเดียวกันแต่มีให้แสดงความสดของสีของดอกไม้
ออกมาต่างกัน ทำให้เห็นได้ว่า ภาพแรกเป็นภาพที่น่าสนใจกว่า 


  ก่อนหน้านี้เราได้รู้จักกับคุณสมบัติของแล้วแล้วว่าประกอบไปด้วย เนื้อสี Hue,
น้ำหนักสี Value และความสดของสี Intensity ขั้นต่อไปเราจะมารู้จักกับการน้ำคุณ
สมบัติเหล่านี้มาใช้งาน ซึ่งการเลือกใช้สีสามารถแบ่งออกตามคุณสมบัติของสี ได้แก่

1. การเลือกเนื้อสี Choose Hue
         ในการเลือกเนื้อสีมาใช้งานเราจะเลือกจาก
         1. ความหมายของเนื้อสีแต่ละสีที่มี
         2. เลือกเนื้อหาที่อยู่ด้วยกันแล้วดูดีเหมาะสม หรือเลือกสีในโครงสร้างสี

 สีและความหมาย Colour Meaning

        องค์ประกอบสียังมีคุณสมบัุติที่เด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การมีความหมายในตัวเอง
ซึ่งความหมายเหล่านี้ใช้การอ้างอิงจากประสบการณ์ในการเห็นสีสันของสิ่งของต่าง ๆ
เ่ช่น สีเงินจากอะลูมิเนียม เป็นต้น หรือบางสีที่ถือกันว่ามีความหมายอย่างนั้นอย่างนี้
โดยหาหลักฐานอ้างอิง ไม่ได้ก็มี ความหมายของสีนั้นจึงไม่ใช่หลักตายตัว สามารถ
เปลี่ยนแปลงความหมายได้ตามกาลเวลาที่ผ่านไปแต่ก็ควรที่จะรู้ความหมายของสี
หลัก ๆ ซึ่งเป็นความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจตรงกัน เพื่อประโยชน์ ในการออกแบบ
ภาพงานกราฟิก ให้สื่อความหมายได้ในระดับหนึ่ง



 สีแดง อ้างอิงมาจากดวงอาทิตย์ และไฟ ซึ่งให้ความสว่าง ความร้อน ทำให้เมื่อเห็น
สีแดง เราจะรับรู้ไ้ดว่าสีแดงคือ ความร้อน พลัง พลังงาน ความแรงที่มีอยู่ อีกทั้งใน
ความเชื่อของชาวจีน สีแดงยังเป็นสีมงคล นักออกแบบไม่น้อยเลยก็หยิบจุดนี้มาออกแบบ
เอาใจลูกค้า

 สีน้ำเงิน ให้ความหมายของความสงบเงียบ ความสุขุม ความมีราคา ให้อารมณ์หรูหรา
มีระดับ บางครั้งก็สื่อถึงความสุภาพ ความหนักแน่น ผู้ชาย สีเหลือง ให้อารมณ์ของความสดใส ปลอดโปร่ง สีเหลืองดึงดูดสายตาได้ดีและมองเห็น
ได้แต่ไกล ดังนั้นเราจะเป็นได้ว่าป้ายร้านอาหาร จึงมักมีสีเหลืองไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือหรือ
แผ่นพื้น เพื่อดึงดูดสายตาลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา

 สีส้ม ให้ความรู้สึกดึงดูด ทันสมัย สดใส กระฉับกระเฉง มีพลัง

 สีเขียว สีเขียวมาจากสีของต้นไม้ ซึ่งมาหลากหลายโทนสี แต่ด้วยความที่เรารับรู้ว่า
ต้นไม้ให้ความสดชื่น เราเลยอนุมานความหมายสีเขียวว่าเป็นสีที่หมายถึงธรรมชาติ
ความเย็นสบาย ความชุ่มชื้น ความสบายตา

 สีม่วง เป็นสีที่ให้อารมณ์หนักแน่น มีเสน่ห์ ความลับ สิ่งที่ปกปิด

 สีชมพู ให้ความรู้สึกถึงความอ่อนหวาน นุ่มนวล ความรัก วัยรุ่น ผู้่หญิง

 สีน้ำตาล ให้ความหมายถึงความสงบ ความเรียบ ความเป็นผู้ใหญ่ ความเก่าแก่
โบราณ บางครั้งเราก็สื่อถึงไม้ แผ่นไม้

 สีฟ้า ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบายตา สือเนื่องมาจากท้องฟ้าที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน
ในบางครั้งก็หมายถึงความนุ่มนวล ความสุขสบาย

 สีเงิน สีเงินนั้นมาจากวัสดุประเภทมันวาว เช่นอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัสดุใหม่ที่นิยม
นำมาใช้ในช่วงหลัง ๆ มีราคาแพง ดังนั้นมันจึงแทนความรู้สึก ทันสมัย และมีคุณค่า

 สีทอง อ้างอิงมาจากแร่ทองคำ จึงเป็นตัวแทนของความหมายว่าความมีคุณค่า
ความมีราคาแพง ความหรูหรา

 สีขาว สือถึงความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความเรียบง่าย ความโล่ง ความไม่มี

 สีเทา ให้อารมณ์เศร้า หม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวา บางครั้งสือถึงคามเป็นกลาง

 สีดำ มาจากความมืด ความไม่เห็น ซึ่งซ่อนความไ่ม่รู้ ความน่ากลัวเอาไว้

ตัวอย่างของสีและความหมาย



งานออกแบบนี้เลือกสีแดง ที่บ่งบอกถึง ความมีพลัง ความแรง ความเร็ว
เป็นงานที่ชวนให้เรารับรู้ว่ารถคันนี้ต้อง มีคุณสมบัตเด่นด้านความเร็ว


2. การเลือกน้ำหนักสึ Choose Value
           การเลือกน้ำหนักสีจะเป็นขั้นตอนถัดมาหลังจากเราเลือกสีได้แล้ว น้ำหนักของสีมี
อิทธิพลต่อความมืดสว่างในภาพ ซึ่งให้อารมณ์ของภาพที่แตกต่าง กันไป

เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า



งานออกแบบนี้เลือกใช้ สีฟ้าที่บ่งบอกถึงความโล่ง ความสบาย ความสุข
ประกอบกับรูปแผ่นเสียง และปุ่มควบคุมเสียงที่เป็นสีฟ้า ต่างน้ำหนัก
ทำให้รู้สึกได้ว่า เราคงเป็นเพลงที่น่าฟัง ฟังแล้วมีความสุข 


3. การเลือกความสดของสี Choose Saturation
          การเลือกความสดของสีเป็นเรืองสุดท้ายในการเลือกสีเพื่อการออกแบบงานสีที่มีความสดสูง
จะให้ความรู้สึกรุนแรง ตื่นตัว สะดุดตา ในขณะที่สีที่มีความสดน้อยหรือสีหม่น จะหใ้ความรู้สึกสงบ
ไม่โดดเด่น หม่นหมอง เศร้า ถ้าสีที่มีความสดอยู่ในระดับกลางจะให้ความรู้สึกพักผ่อน สบายตา

         
การวางโครงสี
Colour Schematic

           คราวนี้มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดของการใช้สีคือ การนำเอาสีไปใช้ในงานออกแบบ หลายคนไม่รู้จะ
ใช้สีอย่างไรดี เลือกเอาสีที่ตัวเองชอบปะเข้าไปในงาน ผลก็คือ ทำให้งานดี ๆ ของเขาออกมาเสียหมด
ดังนั้นจึงมีทฤษฎีของการใช้สี หรือการเลือกสีมาใช้ร่วมกันในภาพ เพื่อให้ภาพออกมาดูดี ดูน่าพึงพอใจ
เรียกว่า Colour Schematic หรือการวางโครงสี (ซึ่งบางคนก็คุ้นกับคำว่า การจับคู่สี การเลือกคู่สี)

   Monochrome

         Monochrome หรือโครงสีเอกรงค์ คือมีเนื้อสี Hue เดียว แต่ให้ความแตกต่างด้วยน้ำหนักสี
Value สีเอกรงค์นี้ ให้อารมณ์ ความรู้สึก สุขุม เรียบร้อยเป็นสากล ไม่ฉูดฉาดสะดุดตา และในด้าน
การออกแบบเป็นการใช้คู่สีที่ง่ายที่สุด แล้วออกมาดูดี (เลือกแค่สีเดียวแล้วนำ้มาผสมขาว ผสมดำ หรือ
ปรับค่าความสว่าง Brightmess เพื่อเปลี่ยนน้ำหนักสี Analogus

ตัวอย่างงาน
 


สีเอกรงค์เป็นสีให้ความรู้สึก สุขุม ไม่ฉูดฉาด สบายตา

 Analogus

         Analogus หรือโครงสีข้างเคียง คือสีที่อยู่ติดกัน อยู่ข้างเคียงกัน ในวงจรสี จะเป็น
ที่ละ 2 หรือ 3 หรือ 4 สีก็ได้ แต่ไม่ควรมากกว่านี้เพราสีอาจจะหลุดจากความข้างเคียง หรือ
หลุดออกจากโครงสีนี้ได้



ลองมาดูตัวอย่างภาพแบบโครงสีข้างเคียงกันดีกว่้า




Dyads

         Dyads หรือโครงสีคู่ตรงข้าม Complementary Colour คือสีที่อยู่ตรงกันข้ามกันใน
วงจรสี การเลือกใช้สีคู่ตรงข้ามจะทำให้งานที่ได้มีความสะดุดตาในการมองแต่ก็ต้องระวังการ
ใช้สีคู่ตรงข้าม เพราะการเลือกใช้สึคู่ตรงข้ามด้วยกันนั้นถ้าเราหยิบสี 2 สีที่ตรงข้ามกันมาใช้
ในพื้นที่พอ ๆ กัน งานนั้นจะดูไม่มีเอกภาพ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการทำงานศิลปะทางที่ดีเรา
ควรแบ่งพื้นที่ของสีในภาพของการใช้สีใดสีหนึ่งมากกว่าอีกสีหนึ่งโดยประมาณมักจะใช้สีหนึ่ง
70 % อีกสีหนึ่ง 30 % ภาพที่ได้ก็จะคงความมีเอกภาพอยู่ และยังมีความเด่นสะดุดตาไปได้
ในตัว

ตัวอย่างงาน Dyads



ภาพนี้เป็นการเลือกใช้สีคู่ตรงข้าม ส้ม-เขียว 70:30

Triads

        Triads หรือโครงสี 3 สี คือ
        1. เป็นการใช้สี 3 สี ในช่วงห่างระหว่างสีทั้ง 3 เท่ากัน ถ้าเราลากเส้นระหว่างสีทั้ง 3 สี
เราจะได้สามเหลี่ยมด้านเท่า
        2. เป็นการใช้สี 3 สี ในช่วงห่างระหว่างสีทั้ง 3 ไม่เท่ากันคือมีช่วงห่าง 2 ช่วงเท่ากัน แต่
กับอีกอันหนึ่งช่วงห่างจะยาวกว่า ถ้าลากเส้นระหว่างสีแล้วจะได้สามเหลี่ยมหน้าจั่ว

 Tetrads

         Tetrads หรือโครงสี 4 สี คือ
         1. การใช้สีในวงจรสี 4 สี โดยเลือกสีที่มีช่วงห่างระหว่างสีเท่ากันหมดกล่าวคือ ถ้าเราลาก
เส้นเชื่อมสีทั้ง 4 สีแล้ว เราจะได้สี่เหลี่ยมจัตุรัส
         2. การใช้สีในวงจรสี 4 สี โดยเลือกสีที่มีช่วงห่างระหว่างสีไม่เท่ากันโดยช่วงห่างของ 2 สี
เป็นช่วงสั้นและอีก 2 สีเป็นช่วงยาว กล่าวคือถ้าเราลากเส้นเชื่อมสีทั้ง 4 สีแล้ว เราจะได้สี่เหลี่ยมผืนผ้า
   
 เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดองค์ประกอบ เราจะต้องซึมซับหลักการอยู่ 2 ข้อ ซึ่งเป็นหัวใจของการจัด
องค์ประกอบในงานศิลปะ คือ
1. การสร้างเอกภาพ (Unity)
2. การสร้างจุดเด่น เน้นจุดสำคัญ (Emphasize)


เอกภาพ
Unity

          เอกภาพถือได้ว่าเป็นกฎเหล็กของศิลปะ และเป็นหลักสำคัญในการจัดองค์ประกอบ ความมีเอกภาพ
หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นจุดเริ่มแรกในการจัดองค์ประกอบให้กับงานออกแบบของเรา
          วิธีสร้างเอกภาพ หรือสร้างความกลมกลืนให้กับงานออกแบบมีหลักอยู่ 3 ข้อคือ

 1. การสร้าง ความใกล้ิชิด ให้กับองค์ประกอบ

          วิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างเอกภาพให้กับงานคือ การจัดองค์ประกอบที่มีอยู่ในสอดคล้องกัน แต่ละ
องค์ประกอบจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ การวางองค์ประกอบให้ใกล้ชิดกันจะทำให้ผู้ชมงานรู้สึกได้
ว่า องค์ประกอบต่าง ๆ เป็นพวกเดียวกัน เกิดภาพรวมที่มีเอกภาพ
 
จากภาพนี้ เห็นว่า คนที่อยู่เดี่ยว ๆ ไม่ใช่พวกเดียวกัน และสื่อให้เห็นว่่า
แต่ละกลุ่มเป็นพวกเป็นหมู่เดียวกัน


 2. สร้างความซ้ำกันขององค์ประกอบ (Repetition)


        การจัดวางองค์ประกอบให้มีการซ้ำกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้น จุด สี หรือ ลักษณะ ของผิวสัมผัส
ฯลฯ ทำให้ผู้ชมงานรู้สึกถึงความเป็นพวกพ้องเดียวกันเกิดเอกภาพขึ้นในงาน

2. สร้างความซ้ำกันขององค์ประกอบ (Repetition)

        การจัดวางองค์ประกอบให้มีการซ้ำกันไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเส้น จุด สี หรือ ลักษณะ ของผิวสัมผัส
ฯลฯ ทำให้ผู้ชมงานรู้สึกถึงความเป็นพวกพ้องเดียวกันเกิดเอกภาพขึ้นในงาน

เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า



ภาพนี้ที่จริงแล้วไม่ได้มีความหมายทีีสื่อถึงสิ่งใดเลยแต่เมื่อม่การนำภาพ
มาวางซ้ำไปซ้ำมาทำให้ผู้ดูงานเกิดความเคยชินจนรู้ึสึกถึงความเป็น
พวกพ้องเดียวกัน


3. สร้างความต่อเนื่องขององค์ประกอบ (Continuation)
         ความต่อเนื่องจะมาจากเส้น หรือทิศทางขององค์ประกอบที่อยู่ภายในภาพ ซี่งสายตา
ของผู้ชมให้เดินทางตามที่ผู้่ออกแบบกำหนดไว้ เมื่อได้มองภาพที่มีองค์ประกอบไหลต่อเนื่อง
กัน ทำให้กระบวนการรับรู้ของคนเราสร้างเรื่องราว ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันและอย่างเป็น
ลำดับขั้น ซึ่งทั้งหมดทำให้เกิดภาพรวมที่มีเอกภาพขึ้นในใจ

ตัีวอย่างภาพความต่อเนื่อง




ภาพนี้นำเส้นมาสร้างเป็นระหว่างเพื่อนำสวยตาให้มองตามไป และ
ให้ความรู้สึกว่าเราจะต้องมองจากมุมซ้ายบน ลงมุมซ้ายล่าง เป็นการ
เอาเส้นมาสร้างความต่อเนื่องเพื่อนำสวยตาผู้ชมทั้งที่ภาพนี้ไม่สื่ออะไร


เสริมจุดเด่น เน้นจุดสำคัญ
Emphasize

           หลังจากผ่านด่านแรกในการจัดองค์ประกอบคือ การสร้างเอกภาพให้กับงานของเราแล้ว
ในด่านต่อไปคือการสร้างหรือเน้นจุดเด่นให้กับงาน (Emphasize) ในการสร้างจุดเด่นนั้นนอก
จากจะสร้างความน่าสนใจให้งานแล้ว จุดเด่นจะทำให้ผู้ชมจับประเด็นความหมายของงาน และ
สามารถเข้าใจในความหมายที่เราตั้งใจออกแบบไว้ หรือเราอาจเรียกได้ว่า จุดเด่นแฝงการสื่อ
ความหมายที่ผู้ออกแบบพยายามสื่อออกมา หลักการสร้างจุดสนใจมี 3 วิธีด้วยกันคือ
          1. วางตำแหน่งจุดสนใจในงาน (Focus Point)
          2. การสร้างความแตกต่างในงาน (Contrast)
          3. การวางแยกองค์ประกอบให้โดดเด่น (Isolation)

 1. การวางจุดสนใจในงาน (Focus Point)

          ข้อแรก เราจะต้องรู้ว่า จะเน้นอะไรในงาน คิดถึงสิ่งที่ต้องการนำเสนอสิ่งที่ต้องการสร้างให้
เด่นที่สุด หรือบางทีเราอาจจะเรียงลำดับตามความมากน้อยขององค์ประกอบนั้น ๆ
          ข้อสอง มองงานที่เรากำลังจะออกแบบเป็นตาราง 9 ช่องดังรูป

             
           ตารางนี้เป็นตารางแสดงจุดสนใจของคนส่วนใหญ่ที่มองภาพโดยแบ่งเป็น ตำแหน่ง
1,3,2 และ 4 เป็นหลัก เรามาดูกันว่ากันว่าเมื่อเราวางองค์ประกอบลงไปในแต่ละตำแหน่ง
องค์ประกอบเหล่านั้นจะมีอิทธิพลต่อภาพ และการให้ความสำคัญอย่างไร
ตำแหน่งหมายเลข 0
เป็นตำแหน่งที่ไม่ควรวางองค์ประกอบที่เราต้องการเน้น เพราะเป็นตำแหน่งที่สายตาคนเรา
มักจะไม่ให้ความสำคัญ
ตำแหน่งหมายเลข 1
เรามักจะชินกับพฤติกรรมการอ่านหนังสือที่ต้องกวาดสายตาจากมุมบนซ้ายลงไปมุมขวาล่าง
ตำแหน่งหมายเลย 1 จึงเป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่เห็นเป็นอันดับแรกในหน้าหนังสือ หรือภาพ
ตำแหน่งหมายเลข 2
เป็นตำแหน่งที่มีพลังในการดึงดูดสายตา มีความเฉียบ จึงเหมาะกับการจัดวางองค์ประกอบที่
ต้องการเน้นเนื่องจากตำแหน่งมุมของภาพนั้นเรียกร้องความสนใจจากสายตาของผู้ชมได้ดี
ตำแหน่งหมายเลข 3
เป็นตำแหน่งที่สำคัญอีกตำแหน่งหนึ่งสืบเนื่องมาจากตำแหน่งที่ 1 เพราะเป็นตำแหน่งสุดท้าย
ที่คนส่วนใหญ่กวาดสายตามอง
ตำแหน่งหมายเลข 4
ความรู้สึกโดยทั่วไปของคนส่วนใหญ่ มักให้ตำแหน่งกลางภาพเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญที่สุด
ในงาน ถึงจะไม่เป็นจุดเรียกร้องสายตามากเท่ากับจุด 1, 2, 3, แต่ก็เป็นจุดรวมสายตาของผู้ชม
ที่มีต่องาน

เรามาดูตัวอย่างการวางตำแหน่งภาพให้น่าสนใจ



เนื่องจากมุมบนซ้ายเป็นมุมที่คนมักจะมองเป็นจุดแรกเนื่องจาก
ความเคยชินในการอ่านหนังสือจากมุมบนซ้าย ลงมา จึงอาศัยจุด
นี้ลากเส้นนำสายตา่มายังกลางภาพทำให้ภาพมีจุดน่าสนใจที่เด่น
มากขึ้น


 2. การสร้างความแตกต่างในงาน

          ความแตกต่างเป็นตัวกำหนดความน่าสนใจหรือความโดดเด่นในงานได้ดีที่สุด แต่ใน
การออกแบบงานโดยใช้การสร้างความแตกต่างนั้น ต้องระวังให้ดีเพราะการสร้าง ให้องค์
ประกอบมีความแตกต่างมากเกินไป จะทำให้องค์ประกอบของภาพหลุดออกจากกรอบของ
งาน ทำให้งานที่ได้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ขาดความมีเอกภาพ วิธีอีกมากมายที่ทำให้
การจัดวางภาพเกิดความแตกต่างสะดุดตาได้แก่
การสร้างขนาดที่แตกต่างขององค์ประกอบภายในภาพ
รูปร่างที่แตกต่างกันขององค์ประกอบภายในภาพ
รูปลักษณ์หรือลักษณ์ที่แตกต่างขององค์ประกอบภายในภาพ

ตัวอย่าง


ในกรอบสี่เหลี่ยมแต่อัน มีความแตกต่างของรูปข้างใน ทำให้งาน
ออกแบบนี้มีเอกภาพในด้านความแตกต่าง


 3. การวางแยกองค์ประกอบให้โดดเด่น (Isolation)

         การวางองค์ประกอบให้โดดเด่น หรือการวางองค์ประกอบที่ต้องการให้แยกออกมาห่าง
จากองค์ประกอบอื่น ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผู้ชมงานสังเกตเห็นองค์ประกอบนั้นได้ง่าย

ตัวอย่าง



  ภาพที่จะที่มีการออกแบบให้มีเอกภาพแบบแยกองค์ประกอบให้โดดเด่น
ทำให้บ่งบอกว่า รถคันนี้ มีความสามารถ หรือมีอะไรที่น่าสนใจกว่ารถ
คันเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างหลัง






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น